การใช้ฟังก์ชัน Excel

การใช้สูตรคำนวณ

  Microsoft Excel 2007 เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการคำนวณในด้านต่างๆ อย่างสูง เช่น เกี่ยวกับการเงิน ตรรกกะ วัน เวลา คณิตศาสตร์หรือสถิติ เป็นต้น รวมถึงยังมีฟังก์ชั่นมาตรฐานที่ใช้งานทั่วไปจนถึงฟังก์ชั่นการคำนวณ
ที่ซับซ้อนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการใช้งานอีกด้วย
 การคำนวณโดยใช้การพิมพ์สูตรทางคณิตศาสตร์
การคำนวณโดยการพิมพ์สมการทางคณิตศาสตร์นั้น ต้องมีการเรียนรู้ถึงหลักการและการนำไปใช้ ดังนี้
หลักการพิมพ์สูตรทางคณิตศาสตร์ในเซลล์
ในการพิมพ์สูตรสมการทางคณิตศาสตร์แบบบรรทัดเดียวนั้น มีหลักการดังต่อไปนี้
เครื่องหมายสถานะของสูตร
ให้พิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) หรือคลิกเครื่องหมายเท่ากับบนแถบสูตรจะมีแผ่นกรอกข้อมูลให้มา โดยโปรแกรม Microsoft Excel จะรู้ทันทีว่ากำลังทำงานอยู่ในสถานะสูตร


ตัวเลขและการอ้างอิงเซลล์
เมื่อพิมพ์ = แล้วก็เป็นการพิมพ์สมการทางคณิตศาสตร์บรรทัดเดียวซึ่งจะใช้ตัวเลขหรือเซลล์มาพิมพ์ก็ได้ ถ้าเป็นตัวเลข Excel จะถือว่าเป็นค่าคงที่แต่ถ้าเป็นเซลล์จะขึ้นอยู่กับการอ้างอิงเซลล์โดยการพิมพ์ชื่อเซลล์ลงไปโดยตรง หรือใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์ที่อ้างอิงนั้นก็ได้ เช่น =1/2 หรือ =6*B3 หรือ =A4+B4 เป็นต้น
เครื่องหมายการคำนวณและเปรียบเทียบ

เป็นการคำนวณโดยใช้เครื่องหมายบวก (+) ลบ (-) คูณ (*) หาร (/) เลขยกกำลัง (^) เปอร์เซ็นต์ (%) และใช้เครื่องหมายวงเล็บ () แต่เราไม่สามารถที่จะใส่สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น
 
 (Square root) ลงในสูตรของ Excel ได้ดังนั้นจึงต้องมีการนำฟังก์ชันมาช่วยทำงาน





ตัวอย่าง7 จะเขียนเป็น SQRT (7) แทน เป็นต้น ซึ่งการคำนวณจากเครื่องหมายคำนวณนี้ จะมีลำดับงานการคำนวณก่อนหลัง ดังตาราง
  ลำดับงานการคำนวณสูตรในโปรแกรม Microsoft Excel 2007   






เครื่องหมายในการเปรียบเทียบในการคำนวณสูตรของโปรแกรม Microsoft Excel 2007


การอ้างอิงตำแหน่งเซลล์
โดยปกติการคำวณหรือการใช้ฟังก์ชั่นมีความจำเป็นต้องอ้างอิงตำแหน่งของเซลล์ด้วย เช่น C6=C4-C5 ซึ่งการอ้างอิงเซลล์ของ Microsoft Excel 2007 มีด้วยกัน 3 วิธีคือ
v Relative Reference :เป็นการอ้างอิงตำแหน่งเซลล์แบบสัมพัทธ์คือเซลล์ที่ถูกคัดลอกหรือย้ายตำแหน่งของเซลล์ปลายทางจะเปลี่ยนตำแหน่งโดยอัตโนมัติ เช่น A2=B2+C2 เมื่อคัดลอกสูตรจาก A2 ไปที่ A4 สูตรที่ A4 จะเป็นดังนี้ A4=B4+C4
v Absolute Reference :เป็นการอ้างอิงเซลล์แบบสัมบูรณ์คือเซลล์ที่ถูกคัดลอกหรือย้ายตำแหน่งของเซลล์ปลายทางจะคงตำแหน่งเซลล์ต้นทางเดิมไว้ เช่น A2=$B$2+$C$2 เมื่อคัดลอกสูตรจาก A2 ไปที่ A4 สูตรที่ A4 จะเป็นดังนี้ A4= $B$2+$C$2 เช่นเดิม ซึ่งหากเราต้องการให้แถวหรือคอลัมน์คงที่ตำแหน่งเดิมไว้เพียงใส่เครื่องหมาย $ ไว้หน้าแถวหรือคอลัมน์นั้นๆ
v Mixed Reference :เป็นการอ้างอิงแบบตำแหน่งเซลล์ผสมทั้ง Relative Reference และ Absolute Reference เช่นเซลล์ที่ถูกคัดลอก หรือย้ายตำแหน่งของเซลล์ปลายทางจะเปลี่ยนตำแหน่งโดยอัตโนมัติสำหรับการอ้างอิงแบบ Relative Reference และจะคงตำแหน่งเซลล์ต้นทางเดิมไว้ Absolute Reference เช่น A2=B2+$C$2 เมื่อคัดลอกสูตรจาก A2 ไปที่ A4 สูตรที่ A4 จะเป็นดังนี้ A4= B4+$C$2 เป็นต้น
หลักการพิมพ์สูตรสำเร็จหรือฟังก์ชันในเซลล์
ในการพิมพ์สูตรสำเร็จหรือฟังก์ชันแบบบรรทัดเดียวนั้นมีหลักการดังต่อไปนี้
เครื่องหมายสถานะของสูตร
ให้พิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) หรือคลิกเครื่องหมายเท่ากับบนแถบสูตรจะมีแผ่นกรอกข้อมูลให้มาโดยโปรแกรม Microsoft Excel จะรู้ทันทีว่าขณะนี้กำลังทำงานอยู่ในสถานะสูตร
ชื่อสูตรสำเร็จหรือฟังก์ชัน
ให้พิมพ์ชื่อสูตรสำเร็จหรือฟังก์ชันที่รู้จักต่อจากเครื่องหมายเท่ากับ (=) ได้แก่ SUM AVERAGE COUNT MAX MIN ฯลฯ
การอ้างอิงเซลล์

หลังจากพิมพ์ชื่อสูตรสำเร็จหรือฟังก์ชันจะเป็นวงเล็บที่เป็นข้อมูลการอ้างอิงเซลล์โดยใช้เครื่องหมายโคลอน (:) คั่นระหว่างเซลล์เป็นข้อมูลต่อเนื่องจากเซลล์หนึ่งถึงอีกเซลล์หนึ่งและใช้เครื่องหมายจุลภาคหรือคอมม่า (,) เป็นข้อมูลเว้นช่วงระยะไปอีกเซลล์หนึ่งหรืออีกกลุ่มเซลล์หนึ่งโดยการพิมพ์ชื่อเซลล์ลงไปโดยตรงหรือใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์ที่อ้างอิงนั้นก็ได้ ถ้าเป็นกลุ่มเซลล์การอ้างอิงเซลล์ติดต่อกันให้ใช้เมาส์ลากแต่ถ้าเป็นเซลล์หรือกลุ่มเซลล์เว้นช่วงระยะกันให้ใช้ Ctrl + เมาส์คลิกหรือลากตามแต่กรณี เช่น =SUM (A1:A4, A6) เป็นต้น
แต่ถ้าเป็นการคลิก = ที่แถบสูตรแล้วจะมีแผ่นข้อมูลมาให้กรอกหรือใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์ก็ได้ในช่องจำนวนชุด

ที่1 และ2 (ถ้ามี) แผ่นนี้สามารถย้ายได้ในกรณีที่แผ่นบังข้อมูลดิบอยู่ โดยนำเมาส์ไปลากย้าย
ออกมาหรือสามารถที่จะย่อแผ่นให้เหลือแต่ช่องที่จะกรอกข้อมูลก็ได้โดยให้คลิกที่รูปท้ายช่องนั้นและคลิกที่รูปท้ายช่องนั้นอีกครั้ง เพื่อเปิดให้แบบเต็มแผ่นขึ้นมาใหม่

การคำนวณโดยใช้สูตร
การคำนวณโดยการใช้สูตรสำเร็จจากการแทรกฟังก์ชันนี้เป็นที่รวบรวมสูตรหรือฟังก์ชันประเภทต่าง ๆ  ได้แก่ การเงินวันและเวลา คณิตศาสตร์และตรีโกณมิติ ทางสถิติ การค้นหาและการอ้างอิงฐานข้อมูล ข้อความ ตรรกศาสตร์ ข้อมูล เป็นต้น ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากการแทรกฟังก์ชันของโปรแกรม Microsoft Excel นั้นมีอยู่อย่างมากแต่สิ่งสำคัญยิ่งในการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ก็คือความรู้และความเข้าใจในการใช้สูตรที่ต้องได้รับ การศึกษามาในแต่ละสาขาวิชาซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการนำไปใช้กรอกข้อมูล หรือสร้างตารางคำนวณได้ถูกต้องและตรงกับการนำไปใช้ในสูตรหรือฟังก์ชันนั้นโดยจะกล่าวถึงหลักการในการใช้สูตรหรือฟังก์ชัน ดังต่อไปนี้

 การใส่สูตรคำนวณปกติ

1.  เลือกเซลล์ที่ต้องการแสดงผลลัพธ์ จากตัวอย่างนี้ตำแหน่งเซลล์อยู่ที่ D4
  




2. พิมพ์เครื่องหมาย = แล้วตามด้วยตำแหน่งเซลล์ เช่น =D2*D3 เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
3. ที่เซลล์ D4 จะแสดงผลลัพธ์ และที่ Formula bar จะแสดงสูตรคานวณที่กำหนดไว้ การคำนวณหาผลรวม
 ถ้าต้องการหาผลรวมของตัวเลขหลายๆ ตำแหน่งให้คุณใช้ฟังก์ชันของการหาผลรวมเข้ามาช่วยมีขั้นตอนดังนี้

1. เลือกเซลล์ที่ต้องการแสดงผลลัพธ์
2. ที่แท็บ Home คลิกปุ่ม Sumบนทูลบาร์
3. จะปรากฏสูตรคานวณ =SUM (B4:G4) ให้ดูช่วงข้อมูลตัวเลขที่จะคำนวณว่าถูกต้องหรือไม่สังเกตจาก
เส้นประวิ่งรอบๆ ข้อมูลถ้าถูกต้องแล้วกดปุ่ม Enter ถ้าไม่ถูกต้อง drag คลุมช่วงข้อมูลใหม่แล้วกดปุ่ม Enter เปิดเลือกสูตรที่ต้องการใช้
ให้คลิกที่หัวลูกศรดำ ๆ หลังชื่อสูตรที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปิดรายการสูตรที่ถูกใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ 10 สูตรและฟังก์ชันเพิ่มเติม... ให้คลิกเลือกสูตรที่ต้องการจะมีแผ่นกรอกข้อมูลที่ได้นำเซลล์ข้อมูลเข้าไปแล้ว หากต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก็ให้ลบข้อมูลเดิมและคลิกเลือกเซลล์ใหม่ที่ต้องการแล้วคลิกปุ่มตกลง
  แท็บสูตร

แท็บ Formula จะแสดงประเภทของสูตรคำนวณให้เลือกใช้ในที่นี้คลิกปุ่มลูกศรลงของ AutoSum

จะปรากฏสูตรคำนวณที่ใช้งานบ่อยๆ ให้เลือก
Average                             สูตรการหาค่าเฉลี่ย
Count Numbers                       สูตรการนับจำนวนข้อมูล
Max                                สูตรการหาค่าสูงสุด
Min                                สูตรการหาค่าต่าสุด
More Functions                       สูตรอื่นๆ

การคัดลอกสูตร
การคำนวณในตำแหน่งเซลล์อื่น ๆ แต่มีการใช้สูตรเดียวกันจำเป็นที่ต้องคัดลอกสูตรที่ทำแล้วนำไปใช้
แต่การคัดลอกอาจมีปัญหาบางประการเกิดขึ้นได้ ดังนั้นควรต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การคัดลอกสูตร
การอ้างอิงเซลล์ ผลลัพธ์ข้อความแปลก ๆ ดังต่อไปนี้
การคัดลอกสูตรและการอ้างอิงเซลล์
เมื่อเราคำนวณโดยการพิมพ์สูตรหรือการใช้ฟังก์ชันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้คัดลอกไปวางไว้ใน
เซลล์อื่น ๆ ได้โดยใช้การคัดลอกและวางจากเมนูหรือเครื่องมือตามที่ได้อธิบายไปแล้วหรือ
ให้ใช้ตัวเติมอัตโนมัติลากไป ในกรณีที่ข้อมูลอยู่ในแนวแถวและคอลัมน์เดียวกัน ดังนี้
การคัดลอกโดยใช้ตัวเติมอัตโนมัติในกรณีที่ข้อมูลในตารางที่ต้องการคัดลอกสูตรอยู่ในแนวแถวและคอลัมน์เดียวกันก็สามารถใช้ตัวเติมอัตโนมัติลากไปได้ตลอดซึ่งเซลล์ที่ถูกวางในลำดับต่อ ๆ ไปนั้นจะมีการอ้างอิงในสูตรเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยตามลักษณะของแถวและคอลัมน์ เช่น การคัดลอกสูตรหาเงินภาษีของแต่ละคนจากตำแหน่งเซลล์ F3 ใช้สูตร =10%*E3 เมื่อคัดลอกโดยลากตัวเติมอัตโนมัติลงมาตามแนวคอลัมน์ของ F ในแต่ละแถวการอ้างอิงเซลล์ในสูตรจะเปลี่ยนไปตามแถวนั้น ๆคือที่ F4 จะเป็นสูตร =10%*E4 โดยที่คอลัมน์ไม่ได้ถูกเปลี่ยนเพราะลากลงมาในคอลัมน์เดียวกันหากแถวใดไม่มีข้อมูลเลยก็จะได้ผลลัพธ์เป็น 0 หรือ
การคัดลอกโดยใช้เมนูเครื่องมือและเมาส์ลาก เป็นการคัดลอกไปใช้ในตำแหน่งเซลล์ที่ไม่อยู่ในแถวและคอลัมน์เดียวกันหรืออยู่แต่เป็นการอ้างอิงไม่เหมือนกันจากตัวอย่างเช่นการหาผลรวมที่เซลล์ C6 ใช้สูตรผลรวม =SUM (D6,E6) แล้วคัดลอกมาวางที่ตำแหน่ง เซลล์ G6 จะได้สูตรผลรวม =SUM (H6,I6) ซึ่งเป็นการอ้างอิงเลื่อนลำดับคอลัมน์ไปตามต้นฉบับที่มี 2 เซลล์ แต่ในข้อมูลตำแหน่งว่างมีข้อมูลถึง 3 เซลล์ จึงได้สูตรและผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง ต้องแก้ไขสูตรใหม่ให้เป็น =SUM (H6:J6) ดังนั้นการคัดลอกมาวางในตำแหน่งอื่น ๆ ต้องระวังว่าเซลล์ต้นฉบับกับเซลล์ปลายทางนั้นมีความสอดคล้องเหมือนกันหรือไม่ถ้าไม่เหมือนกันต้องแก้ไขการอ้างอิงให้ถูกต้องด้วย

ข้อความแสดงความผิดพลาดจากสูตรคำนวณ

การที่เราใช้งานสูตรคำนวณนั้นบางครั้งอาจเกิดการผิดพลาดได้ซึ่ง Microsoft Excel 2007 มีข้อความแสดงความผิดพลาดให้เราทราบดังต่อไปนี้

ฟังก์ชันทางสถิติ (Statistical)
จากที่ได้กล่าวถึงการใช้งานฟังก์ชันของ excel มาแล้วนั้นในบทความ การใช้สูตรและฟังก์ชันเพื่อการคำนวณ Excel
วันนี้จึงมีฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์มาให้ได้ดูกัน
ฟังก์ชันทางสถิติ (Statistical) เป็นฟังก์ชัน การวิ เคราะห์ ข้อมูลทางสถิติ ใช้คำนวณหาค่าทางสถิติต่าง ๆ
เช่นค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุดค่าต่ำสุด การนับตัวเลข เป็นต้น


ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ (Math & Trig)
จากที่ได้กล่าวถึงการใช้งานฟังก์ชันของ excel มาแล้วนั้นในบทความ การใช้สูตรและฟังก์ชันเพื่อการคำนวณ Excel
วันนี้จึงมีฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์มาให้ได้ดูกัน

ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ (Math & Trig) ใช้คำนวณหาค่าทางคณิตศาสตร์ หรือตรีโกณมิติ เช่นค่าผลรวม ค่าจานวนเต็ม ค่ารากที่สอง เป็นต้น
DATE (ฟังก์ชัน DATE)
บทความนี้จะอธิบายถึงไวยากรณ์ของสูตรและการใช้ฟังก์ชันDATE ใน Microsoft Excel
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน DATE จะส่งกลับเลขลำดับต่อเนื่องที่แสดงถึงวันที่หนึ่งๆ ตัวอย่างเช่น สูตร
=DATE(2008,7,8)
ส่งกลับค่า 39637 เป็นเลขลำดับที่แทน 7/8/2008
หมายเหตุ   ถ้ารูปแบบของเซลล์เป็น ทั่วไป ก่อนที่จะใส่ฟังก์ชัน ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกจัดรูปแบบเป็นวันที่แทนตัวเลข ถ้าคุณต้องการจะดูเลขลำดับ หรือถ้าคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงการจัดรูปแบบวันที่ ให้เลือกรูปแบบตัวเลขในกลุ่ม หมายเลข ของแท็บ หน้าแรก

ฟังก์ชัน DATE จะมีประโยชน์มากที่สุดในกรณีที่สูตรหรือการอ้างอิงเซลล์มีข้อมูลเกี่ยวกับปี เดือนและวัน ตัวอย่างเช่น คุณอาจมีแผ่นงานที่มีวันที่ในรูปแบบที่ Excel ไม่รู้จัก เช่น YYYYMMDD คุณสามารถใช้ฟังก์ชัน DATE ร่วมกับฟังก์ชันอื่นเพื่อแปลงวันที่ให้เป็นเลขลำดับที่ Excel รู้จักได้ ดูสเปรดชีตในส่วนตัวอย่างของบทความนี้สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ไวยากรณ์
DATE(year,month,day)
ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน DATE มีอาร์กิวเมนต์ดังต่อไปนี้
Year    (ต้องระบุ) ค่าของอาร์กิวเมนต์ year สามารถเป็นตัวเลขตั้งแต่หนึ่งถึงสี่ตัว Excel จะแปลอาร์กิวเมนต์ year ตามระบบวันที่ที่คอมพิวเตอร์ของคุณใช้อยู่ ตามค่าเริ่มต้น Microsoft Excel สำหรับ Windows จะใช้ระบบวันที่แบบ 1900เราขอแนะนำให้ใช้ตัวเลขสี่หลักสำหรับอาร์กิวเมนต์ year เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการ ตัวอย่างเช่น "07" อาจหมายถึง "1907" หรือ "2007" ตัวเลขปีแบบสี่หลักจะช่วยป้องกันความสับสน
ถ้า year มีค่าตั้งแต่ 0 (ศูนย์) ถึง 1899 (นับตัวเลขนี้ด้วย) Excel จะบวกค่านี้ด้วย 1900 เพื่อคำนวณปี ตัวอย่างเช่น DATE(108,1,2) จะส่งกลับ 2 มกราคม 2008 (1900+108)
ถ้าค่า year อยู่ระหว่าง 1900 ถึง 9999 (นับตัวเลขนี้ด้วย) Excel จะใช้ค่านั้นเป็นปี ตัวอย่างเช่น DATE(2008,1,2) ส่งกลับวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2008

ถ้าค่า year น้อยกว่า 0 หรือเท่ากับ 10000 หรือมากกว่า Excel จะส่งกลับ #NUM! เป็นค่าความผิดพลาด เป็นค่าความผิดพลาด
Month    (ต้องระบุ) จำนวนเต็มบวกหรือจำนวนเต็มลบที่แทนค่าเดือนของปีตั้งแต่ 1 ถึง 12 (มกราคมถึงธันวาคม)
ถ้า month มีค่ามากกว่า 12 ค่าของ month ที่เกินจาก 12 จะถูกนับทบขึ้นเป็นเดือนแรกของปีที่ระบุ ตัวอย่างเช่น DATE(2008,14,2) ส่งกลับเลขลำดับที่แสดงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009
ถ้าค่า month น้อยกว่า 1 month จะลบจำนวนเดือนนั้น บวกหนึ่ง จากเดือนแรกของปีที่ระบุ ตัวอย่างเช่น DATE(2008,-3,2) จะส่งกลับเลขลำดับที่แสดง September 2, 2007
Day    (ต้องระบุ) จำนวนเต็มบวกหรือจำนวนเต็มลบที่แสดงวันของเดือนตั้งแต่ 1 ถึง 31
ถ้า day มีค่ามากกว่าจำนวนวันในเดือนที่ระบุ ค่าของ day ที่เกินจากค่าจำนวนวันนั้นจะถูกนับทบขึ้นเป็นวันแรกของเดือนต่อไป ตัวอย่างเช่น DATE(2008,1,35) ส่งกลับเลขลำดับที่แสดงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008
ถ้า day น้อยกว่า 1 day จะลบจำนวนวันนั้นออก บวกหนึ่ง จากวันแรกของเดือนที่ระบุ ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น DATE(2008,1,-15) จะส่งกลับเลขลำดับที่แสดง December 16, 2007
หมายเหตุ   Excel จะเก็บวันที่เป็นเลขลำดับต่อเนื่องเพื่อให้สามารถนำมาใช้ในการคำนวณได้ 1 มกราคม 1900 มีเลขลำดับเป็น 1 และวันที่ 1 มกราคม 2008 มีเลขลำดับเป็น 39448 เพราะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม 1900 ไป 39,447 วัน
ตัวอย่าง
สมุดงานด้านล่างจะแสดงตัวอย่างของฟังก์ชันนี้ ให้ตรวจสอบ เปลี่ยนสูตรที่มีอยู่ หรือใส่สูตรของคุณเองเพื่อศึกษาวิธีการทำงานของฟังก์ชัน
คัดลอกข้อมูลตัวอย่างในตารางต่อไปนี้ และวางในเซลล์ A1 ของแผ่นงาน Excel ใหม่ เพื่อให้สูตรแสดงผลลัพธ์ ให้เลือกสูตร กด F2 แล้วกด Enter ถ้าจำเป็น คุณสามารถปรับความกว้างของคอลัมน์เพื่อดูข้อมูลทั้งหมดได้
DATEVALUE (ฟังก์ชัน DATEVALUE)
บทความนี้จะอธิบายถึงไวยากรณ์ของสูตรและการใช้ฟังก์ชัน ฟังก์ชัน ใน Microsoft Excel
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน DATEVALUE แปลงค่าวันที่ ที่เก็บเป็นข้อความให้เป็นเลขลำดับที่ Excel รู้จักว่าเป็นวันที่ ตัวอย่างเช่น สูตร= DATEVALUE (" 1 / 1 / 2008 ") จะส่งกลับค่า 39448 ซึ่งเป็นเลขลำดับของวันที่ 1 / 1 / 2008 อย่างไรก็ดี จำไว้ว่าการตั้งค่าวันที่ในระบบคอมพิวเตอร์ของคุณอาจทำให้ฟังก์ชัน DATEVALUE แสดงค่าต่างไปจากตัวอย่างนี้
ฟังก์ชัน DATEVALUE มีประโยชน์ในกรณีที่แผ่นงานมีวันที่ในรูปแบบข้อความที่คุณต้องการกรอง เรียงลำดับ หรือจัดรูปแบบให้เป็นวันที่ หรือใช้ในการคำนวณวันที่
ดังนั้น เมื่อต้องการดูเลขลำดับวันที่เป็นวันที่ คุณต้องใช้รูปแบบวันที่กับเซลล์ ค้นหาการเชื่อมโยงไปยังข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงตัวเลขเป็นวันที่ได้ในส่วน ดูเพิ่มเติม
ไวยากรณ์
DATEVALUE(date_text)
ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน DATEVALUE มีอาร์กิวเมนต์ดังต่อไปนี้
Date_text    (ต้องระบุ) ข้อความที่แสดงวันที่ในรูปแบบวันที่ของ Excel หรือการอ้างอิงเซลล์ไปยังเซลล์ที่มีข้อความที่แสดงวันที่ในรูปแบบวันที่ของ Excel ได้ ตัวอย่างเช่น "1/30/2008" หรือ "30-Jan-2008" ทั้งสองนี้ คือ สตริงข้อความในเครื่องหมายอัญประกาศที่ใช้แทนวันที่
เมื่อใช้ระบบวันที่เริ่มต้นใน Microsoft Excel for Windows อาร์กิวเมนต์ date_text ต้องใช้แทนวันที่ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1900 และวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 9999 ฟังก์ชัน DATEVALUE จะส่งกลับค่า # VALUE ! เป็นค่าความผิดพลาดถ้าค่าของอาร์กิวเมนต์ date_text อยู่นอกช่วงนี้
ถ้าละส่วนที่เป็นปีของอาร์กิวเมนต์ date_text ฟังก์ชัน DATEVALUE จะใช้ปีปัจจุบันจากนาฬิกาในคอมพิวเตอร์ของคุณ ข้อมูลเวลาในอาร์กิวเมนต์ date_text จะถูกละไป

ข้อสังเกต
Excel จะเก็บวันที่เป็นเลขลำดับต่อเนื่องเพื่อให้สามารถนำมาใช้ในการคำนวณได้ ตามค่าเริ่มต้นแล้ว 1 มกราคม พ.ศ. 2443 (หรือ ค.ศ. 1900) เป็นเลขลำดับ 1 และวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 (หรือ ค.ศ. 2008) เป็นเลขลำดับ 39448 เนื่องจากเป็นวันในลำดับที่ 39,448 นับจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2443 (หรือ ค.ศ. 1900)

ฟังก์ชันส่วนใหญ่จะแปลงค่าวันที่เป็นเลขลำดับโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่าง
สมุดงานด้านล่างจะแสดงตัวอย่างของฟังก์ชันนี้ ให้ตรวจสอบ เปลี่ยนสูตรที่มีอยู่ หรือใส่สูตรของคุณเองเพื่อศึกษาวิธีการทำงานของฟังก์ชัน
คัดลอกข้อมูลตัวอย่างในตารางต่อไปนี้ และวางในเซลล์ A1 ของแผ่นงาน Excel ใหม่ เพื่อให้สูตรแสดงผลลัพธ์ ให้เลือกสูตร กด F2 แล้วกด Enter ถ้าจำเป็น คุณสามารถปรับความกว้างของคอลัมน์เพื่อดูข้อมูลทั้งหมดได้
DAYS360 (ฟังก์ชัน DAYS360)
บทความนี้จะอธิบายถึงไวยากรณ์ของสูตรและการใช้ฟังก์ชันDAYS360 ใน Microsoft Excel
คำอธิบาย
ฟังก์ชัน DAYS360 ส่งกลับจำนวนวันระหว่างวันที่สองวันที่โดยถือว่าปีหนึ่งมี 360 วัน (สิบสองเดือน เดือนละ 30 วัน) ซึ่งใช้ในการคำนวณทางบัญชีบางอย่าง ให้ใช้ฟังก์ชันนี้เพื่อช่วยคำนวณการจ่ายเงินถ้าระบบบัญชีของคุณใช้รูปแบบสิบสองเดือน เดือนละ 30 วัน
ไวยากรณ์
DAYS360(start_date,end_date,[method])
ไวยากรณ์ของฟังก์ชัน DAYS360 มีอาร์กิวเมนต์ดังต่อไปนี้
Start_date, end_date    (ต้องระบุ) วันที่สองวันที่ที่คุณต้องการทราบจำนวนวันระหว่างวันที่ทั้งสองนี้ ถ้า start_date เกิดขึ้นหลัง end_date ฟังก์ชัน DAYS360 จะส่งกลับตัวเลขค่าลบ คุณอาจใส่วันที่โดยใช้ฟังก์ชัน DATE หรือใช้ผลลัพธ์จากสูตรหรือฟังก์ชันอื่น ตัวอย่างเช่น ใช้สูตร DATE(2008,5,23) เพื่อแสดงผลเป็นวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เนื่องจากจะมีปัญหาเกิดขึ้นหากใส่วันที่ในรูปแบบข้อความ
v วิธีการ    (ระบุหรือไม่ก็ได้) ค่าตรรกะที่ระบุว่าต้องการใช้วิธีแบบสหรัฐฯ หรือยุโรปในการคำนวณ
หมายเหตุ   Excel จะเก็บวันที่เป็นเลขลำดับต่อเนื่องเพื่อให้สามารถนำมาใช้ในการคำนวณได้ ตามค่าเริ่มต้นแล้ว 1 มกราคม พ.ศ. 2443 (หรือ ค.ศ. 1900) เป็นเลขลำดับ 1 และวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 (หรือ ค.ศ. 2008) เป็นเลขลำดับ 39448 เนื่องจากเป็นวันในลำดับที่ 39,447 นับจากวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2443 (หรือ ค.ศ. 1900)

ตัวอย่าง

สมุดงานต่อไปนี้แสดงตัวอย่างของฟังก์ชันนี้ ให้ตรวจสอบ เปลี่ยนสูตรที่มีอยู่ หรือใส่สูตรของคุณเองเพื่อศึกษาวิธีการทำงานของฟังก์ชัน
คัดลอกข้อมูลตัวอย่างในตารางต่อไปนี้ และวางในเซลล์ A1 ของแผ่นงาน Excel ใหม่ เพื่อให้สูตรแสดงผลลัพธ์ ให้เลือกสูตร กด F2 แล้วกด Enter ถ้าจำเป็น คุณสามารถปรับความกว้างของคอลัมน์เพื่อดูข้อมูลทั้งหมดได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น