
ความหมายของอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet)
หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ
เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า
โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ
ทาง เช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ
รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต
เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก
ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น
สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง ตามความต้องการ โดยไม่กำหนดตายตัว
และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่านจุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย
ๆ เส้นทาง การติดต่อสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั้นอาจเรียกว่า
การติดต่อสื่อสารแบบไร้มิติ หรือ Cyberspace
ประวัติความเป็นมา
เรื่องราวความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตมักจะมีในหนังสือตำราต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกเพราะผู้ที่จะรู้จักกับอินเทอร์เน็ตก็ควรทราบถึงการความเป็นมาของมันด้วย
เช่นเดียวกันที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้คุณทราบอย่างคร่าว ๆ
ตามเนื้อที่ซึ่งค่อนข้างจำกัดนี้
อินเทอร์เน็ตได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1969 ณ
ประเทศสหรัฐอเมริกา โครงการที่ชื่อ ARPA (Advanced Research Projects
Agency) ได้จัดตั้งระบบเน็ตเวอร์กซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตขึ้น
ในเวลานั้นเน็ตเวอร์กนี้มีชื่อเรียกว่า ARP Anet และได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อมูลทางการทหาร,
ใช้ในการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาและใช้ในมหาวิทยาลัย ปัญหาหลักของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในขณะนั้นคือเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกตัวที่อยู่ในระบบเน็ตเวอร์ก
ต้องทำงานของระบบร่วมกันทั้งหมด หากตัวใดตัวหนึ่งหยุดทำงานลงไปตัวอื่น ๆ
ก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นมีคอมพิวเตอร์เชื่อมอยู่ในสายสัญญาณ 3
ตัว หากตัวกลางเกิดเสียกลางคันอีก 2 เครื่องหัวท้ายก็ต้องหยุดเช่นกัน
ลองคิดดูว่ารัฐบาลของสหรัฐจะทำอย่างไรหากระบบเน็ตเวอร์หยุดทำงานขณะที่อยู่ในช่วงสงครามเย็นขณะนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้าย
ระบบเน็ตเวอร์กขณะนั้นจึงยังถือว่าใช้งานจริงไม่ได้
ARP Anet จึงกลายเป็นเน็ตเวอร์กที่มีลักษณะเฉพาะตัวกลุ่มแรก
เหตุผลแรกก็เพราะ ARP Anet มีลักษณะของการกระจายอำนาจในการทำงานไม่มีคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางเพียงตัวเดียวที่คอยสั่งการ
หากคอมพิวเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งในระบบหยุดทำงานลงไปเพื่อการใดก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เครื่องอื่น
ๆ จะต้องคงความสามารถในการติดต่อสื่อสารต่อไป
คงจะพอเดาออกว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่ออเมริกาอย่างไร ARP Anet จึงจำเป็นต้องเชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย
ๆ ตัวเข้าด้วยกันและคอยสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ
อย่างอัตโนมัติแม้ว่าคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งตัวใดจะหยุดทำงานลงไปก็ตาม
ARP Anet ได้เริ่มเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานที่ 4
แห่งด้วยกันได้แก่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด, UCLA, UC Santa Barbara และมหาวิทยาลัยยูทาร์ต่อมาในปี
70 ARP Anetจึงถูกเริ่มนำมาใช้ในวงกว้างขึ้นไม่เฉพาะแต่เพียงในการทหารของสหรัฐอีกต่อไป
เมื่อมหาวิทยาลัยและกระทรวงกลาโหมได้ทำการวิจัยและยินยอมที่จะเชื่อมระบบเน็ตเวอร์เข้าด้วยกัน
หลังจากปี 70 ARP Anet จึงได้กำหนดมาตรฐานโปรโตคอลการสื่อสารขึ้นให้เป็นแบบอย่างเดียวกันทั้งหมดและทำให้การเติบโตของระบบเน็ตเวอร์กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงปี
1983 คอมพิวเตอร์ทุกตัวภายใน ARP Anet ก็ใช้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด
นั่นก็คือมาตรฐาน TCP/IP ที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ในปี 1983
การทำงานบนระบบเน็ตเวอร์กจึงเด่นชัดว่าไม่ได้ถูกใช้ในจุดประสงค์ทางการทหารอีกต่อไป
และได้แยกออกเป็น 2 เน็ตเวอร์กด้วยกันคือส่วนหนึ่งกลายเป็น MILNET
เน็ตเวอร์กที่ใช้ในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐสำหรับดำเนินงานทางการทหารแต่เพียงอย่างเดียวอีกส่วนหนึ่งก็คือ
ARP Anet ซึ่งถูกใช้ในงานวิจัยและขยายตัวออกไปอีกอย่างรวดเร็ว
ในปี 1987
หน่วยงาน National Science Foundtion ได้สร้างเน็ตเวอร์ก
ของตนเองขึ้นในชื่อว่า NSFnet มีโครงสร้างและจุดประสงค์ที่คล้ายคลึงกันจึงเริ่มทำงานร่วมกันและรวมตัวเข้าด้วยกันในที่สุด
ปัจจุบัน NSFnet ยังคงเป็นเครือข่ายหลักของการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตในประเทศสหรัฐอเมริกา
กลางปี 80
หน่วยงาน National Sciencd Foundation ได้เริ่มเตรียมกองทุนในการจัดตั้งเน็ตเวอร์กสำหรับวิจัยและศึกษาค้นคว้าทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา
และเริ่มเชื่อมโยงการสื่อสารเข้ากับNSFnet ขณะนั้นเองเรื่องประเภทเดียวกันก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
การศึกษา, หน่วยงานในภาครัฐและผู้ที่สนใจทั่วไปเริ่มเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์ของตนเข้าสู่เน็ตเวอร์กและเชื่อมเน็ตเวอร์กเหล่านั้นเข้าสู่เน็ตเวอร์กอื่น
ๆ
จุดประสงค์หลักของ NSFnet ก็เพื่อรองรับการศึกษาและการค้นคว้าวิจัยไม่ใช่เพื่อมีไว้เพื่อการทำงานในเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้จากการใด
ๆ
ในเน็ตเวอร์กอย่างไรก็ตามข้อกำหนดในเรื่องที่ควรปฎิบัติและไม่ควรปฎิบัติยังปรากฎไม่ชัดเจนนัก
ดังนั้น NSFnet จึงได้กำหนดนโยบายที่ชัดเจนสำหรับจุดประสงค์ในการใช้งานขึ้น
ห้ามใช้ระบบเน็ตเวอร์กในการทำงานค้าแม้กระทั่งใช้สื่อสารข้อมูล
(ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ) ระหว่างระบบเน็ตเวอร์กใด ๆ ภายใต้ NSFnet
ในปี 1991
กลุ่มของระบบเน็ตเวอร์กที่ทำงานกันในเชิงพาณิชย์ก็ได้จัดตั้งเน็ตเวอร์กCommercial
Internet Exchange (CIX) ของตนเองขึ้นและเกิดการใช้งานระบบเน็ตเวอร์กในด้านสกปรกขึ้นหลาย
ๆ อย่าง ปัจจุบันผู้ใช้ที่ทำธุรกิจสามารถเชื่อมโยงการสื่อสารไปยังบุคคลอื่น ๆ
ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องตามกฎหมายผ่านทาง CIX มากกว่าที่จะใช้
NSFnetซึ่งหมายความว่าความร่วมมือทางธุรกิจ, การสนับสนุนทางด้านเทคนิคในเรื่องของอีเมล์,
การชำระค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าใช้ระบบฐานข้อมูล
รูปแบบเหล่านี้ของเน็ตเวอร์ก CIX เป็นการส่งเสริมการเติบโตของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น
อินเทอร์เน็ตเป็นการรวมตัวกันของ NSFnet,
ARP Anet, CIX และระบบเน็ตเวอร์กอื่น ๆอีกมากมายทั่วโลกซึ่งกำลังขยายตัวออกไปอีกอย่างไม่หยุดนิ่งพร้อม
ๆ
กับการเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบที่พวกเขาต้องการไม่ว่าระบบนั้นจะใช้ทำอะไรก็ตามที
จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 2.095
พันล้านคน หรือ 30.2 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม 2554)
โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่างๆ
พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 44.0 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด
และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 384
ล้านคน
หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม
พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อประชากรสูงที่สุดคือ 78.3 % รองลงมาได้แก่
ทวีปออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 58.3 % ตามลำดับ
จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ปี 2534 (30คน) ปี 2535 (200
คน) ปี 2536 (8,000 คน) ปี 2537 (23,000
คน) ... ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551
จากจำนวนประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปประมาณ 59.97
ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 16.99 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 28.2
และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 10.96 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 18.2
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530
โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น
ประเทศออสเตรเลีย แต่ในครั้งนั้นยังเป็นการ เชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์
ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้าและไม่เป็นการถาวร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย
6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
(AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC),
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เข้าด้วยกันเรียกว่า "เครือข่ายไทยสาร"
การให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ
เดือน มีนาคม พ.ศ. 2538 โดยความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3
แห่ง คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้บริการในนาม
บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย
อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น ประกอบไปด้วย
1. คอมพิวเตอร์
เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลต่างๆ
ไปจากอินเตอร์เน็ตสำหรับคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
ถ้าเป็นเครื่อง PC ควรจะใช้เครื่องในระดับ Pentium ที่มีระบบปฏิบัติการ ตั้งแต่
Windows 95 ขึ้นไป
แต่ถ้าเป็นเครื่องแมคอินทอชนั้นควรใช้
System 7 ขึ้นไป
และควรมีหน่วยความจำตั้งแต่ 16 MB ขึ้นไป
2. โมเด็ม (Modem)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณดิจิตอล
จากคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อก
ผ่านคู่สายโทรศัพท์
และจะแปลงสัญญาณกลับอีกครั้งให้กับคอมพิวเตอร์
โมเด็มที่เหมาะสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
ควรมีความเร็วตั้งแต่ 33.6 Kbps ขึ้นไป
3. โทรศัพท์
ในการเชื่อมต่อช่องอินเตอร์เน็ตนั้นจะต้องมีคู่สายโทรศัพท์อย่างน้อย 1
เลขหมาย
เพื่อเชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไปยังผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
4. ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider) หรือ ISP คือผู้ที่เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากประเทศไทยไปยังเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่างประเทศ
หลักการเลือกผู้ให้บริการ ISP
1. จำนวนคู่สายโทรศัพท์ที่มีให้บริการแก่สมาชิก
2. ความเร็วของสายสัญญาณ
และขนาดความกว้างของช่องสัญญาณที่ต่อไปยังต่างประเทศ
.jpg)
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต
ปัจจุบันอินเทอร์เน็ต
มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเรา หลายๆ ด้าน ทั้งการศึกษา พาณิชย์ ธุรกรรม
วรรณกรรม และอื่นๆ ดังนี้
ด้านการศึกษา
- สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่นๆ
ที่น่าสนใจ
- ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
จะทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่
- นักศึกษาในมหาวิทยาลัย
สามารถใช้อินเทอร์เน็ต ติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ
เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง
ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น
ด้านธุรกิจและการพาณิชย์
-
ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
- สามารถซื้อขายสินค้า
ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
- ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท
หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware)
หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware) เป็นต้น
ด้านการบันเทิง
- การพักผ่อนหย่อนใจ
สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine
online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ
โดยมีภาพประกอบ ที่จอคอมพิวเตอร์เหมือนกับวารสาร ตามร้านหนังสือทั่วๆ ไป
- สามารถฟังวิทยุผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
-
สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์ตัวอย่างทั้งภาพยนตร์ใหม่
และเก่า มาดูได้
จากเหตุผลดังกล่าว พอจะสรุปได้ว่า อินเทอร์เน็ต มีความสำคัญ ในรูปแบบ
ดังนี้
1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
(Electronic mail=E-mail) เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผู้ส่งจะต้องส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ
และแนบไฟล์ไปได้
2. เทลเน็ต
(Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล
ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถเรียกข้อมูลจากโรงเรียนมาทำที่บ้านได้
3. การโอนถ่ายข้อมูล
(File Transfer Protocol ) ค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้
ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง
4. การสืบค้นข้อมูล
(Gopher,Archie,World wide Web) การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมาย
ใช้สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั่วโลกได้
5. การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น
(Usenet) เป็นการบริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
แสดงความคิดเห็นของตน โดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
6. การสื่อสารด้วยข้อความ
(Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน
ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน
แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม
7. การซื้อขายสินค้าและบริการ (E-Commerce
= Electronic Commerce) เป็นการซื้อ - สินค้าและบริการ
ผ่านอินเทอร์เน็ต
8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ
เช่น รายการโทรทัศน์ เกม เพลง รายการวิทยุ เป็นต้น
เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด 24
ชั่วโมง
โดยสรุปอินเทอร์เน็ต ได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงานไอที
ทำให้เกิดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว ช่วยในการตัดสินใจ
และบริหารงานทั้งระดับบุคคลและองค์กรลักษณะการให้บริการอินเทอร์เน็ต
การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล์ (e-Mail) , สนทนา
(Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร,
การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม
หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ,
การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์,
การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต
(Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล
หรือ อื่นๆ
แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างสังคมออนไลน์
(Social Network) ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, hi5
และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile
Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก
http://pongye.blogspot.com/2012/01/blog-post.html
https://sites.google.com/site/classystcc/home/introductory
http://www.krunee.com/E_learning/content22.html

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น